วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ความเชื่อศาสนาพราหมณ์ในสังคมเขมร

ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลกที่กำเนิดขึ้นในประเทศอินเดีย ใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาหลัก โดยมีเทพประจำศาสนาสามพระองค์ คือพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ เรียกว่า “ตรีมูรติ”ศาสนานี้ได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศเขมรก่อนศาสนาอื่นๆตั้งแต่ยุคเริ่มแรกและอยู่ควบคู่กับประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชนทุกชนชั้นในประเทศนี้มาเป็นจนถึงปัจจุบัน ศาสนิก ผู้นับถือศาสนานี้มีความเชื่อหลายอย่าง เช่นต้องสร้างศาสนาสถาน ปราสาท ศิวลึงค์ และอื่นๆ เพื่ออุทิศถวายแด่เทพเจ้าที่ตนเคารพนับถือ โดยเชื่อว่าการสร้างปราสาท หรือศาสนาสถานขึ้น เปรียบเสมือนได้ทำบุญกุศล ถ้าหากสร้างปราสาทยิ่งสูง ยิ่งทำให้ผู้สร้างยิ่งใกล้ชิตกับเทพที่ตนเคารพสักการะมากยิ่งขึ้น จึงมีการสร้างบนภูเขา เนินที่สูง หรือสร้างหลายชั้น และเมื่อตนเองเสียชีวิตไปแล้ว จะไปอยู่ในปราสาท หรือศาสนสถานที่ตนสร้างไว้ด้วย จึงทำให้มีการสร้างปราสาทและศาสนสถานขนาดใหญ่และสูงขึ้นเรื่อยมาจึงมีการสร้างสิ่งเหลานั้นมากมายทั่วประเทศ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ได้สร้างปราสาทมากกว่าหนึ่งหลัง เพื่ออุทิศให้บิดามารดาบุพการีชน และผู้ที่ตนเคารพนับถือด้วย นอกจากนี้ ตามที่เห็นในจารึกต่างๆ พระมหากษัตริย์เขมรตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมา จะมีคำต่อท้ายพระนามว่า “วรมัน” เป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึง เกราะ เสื้อเกราะ เช่น ชัยวรมัน สุริยวรมัน เป็นต้น การที่พระมหากษัตริย์นำคำนี้มาใช้ท้ายพระนามของพระองค์ คงเป็นเพราะสมัยก่อนพระองค์ต้องนำทัพออกรบ ทำศึกสงครามกับศัตรูทั่วทุกสารทิศเพื่อปกป้องอาณาเขต หรือขยายดินแดนของตนเป็นประจำ จึงต้องมีเกราะป้องกันตัว โดยเชื่อว่าคำ “วรมัน” ต่อท้ายพระนามของพระองค์ เปรียบเสมือนมีเสื้อเกราะปกป้องพระองค์จากภยันตรายต่างๆ ในสมรภูมิ สนามรบเหล่านั้นได้ การนับถือศาสนาพราหมณ์ได้รับความนิยมมากขึ้นจนถูกบัญญัติให้เป็นศาสนาประจำชาติเขมรเมื่อศตวรรษที่ 12 ใน รัชสมัยพระบาทสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทนครวัดที่เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ส่วนในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ประชาชนทั่วไป ที่นับถือปฏิบัติตามศาสนานี้เหมือนกัน มีประเพณี ความเชื่อ และการปฏิบัติต่างๆ ที่เป็นของพราหมณ์ เช่น ประเพณีงานศพ ดูดวง พิธีกรรมเกี่ยวกับชะตาราศีและอื่นๆ  
             ในพุทธศตวรรษที่ 3 พุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศกัมพูชา ทำให้ประเทศนี้นับถือสองศาสนา คือศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ แต่ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาได้เข้ามาก็ตาม ศาสนาพราหมณ์ที่เป็นศาสนาเก่าแก่ยังฝั่งรากลงลึกในความคิด ความเชื่อ ความนิยม เคารพนับถือจากทุกชนชั้นเหมือนเดิม ต่างจากพุทธศาสนาที่มีตกต่ำในบางยุค และเจริญรุ่งเรืองในบางยุค เช่น พุทธศาสนามหายานที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระบาทชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์เขมร ผู้สร้างเมืองพระนครธม และปราสาทอื่นๆ อีกมากมายเพื่ออุทิศถวายบิดามารดา บุตร และบุคคลอื่นๆ ตามความเชื่อทางพุทธศาสนามหายาน ถึงแม้ว่าพระองค์นับถือพุทธศาสนามหายาน ส่งเสริมศาสนานี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่พระองค์ก็ไม่ได้ถอดทิ้งศาสนาพราหมณ์ให้อยู่โดดเดี่ยว เนื่องด้วยพุทธศาสนามหายานและศาสนาพราหมณ์มีข้อปฏิบัติที่ไม่เคร่งครัดมากมัก ทำให้ทั้งสองศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อย่างที่เห็นตรงประตูเข้าเมืองพระนครธม ที่มีการแกะสลักหน้าพรหม เรื่องเกษียรสมุทรที่มีเทพและอสูรดึงพญานาคคนละข้าง ซึ่งเป็นเรื่องราวของพราหมณ์ แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขของทั้งสองศาสนา ทำให้ประเทศเขมรเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์
          แต่หลังจากยุคของพระมหากษัตริย์องค์นี้แล้ว สถานการณ์บ้านเมืองในประเทศเขมรเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง พระมหากษัตริย์ที่สืบทอดราชสมบัติต่อมาได้เปลี่ยนมานับถือพราหมณ์และต่อต้านพุทธศาสนาที่เคยนับถือและอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน จนมีการเปลี่ยนแปล และทำลายปราสาทที่สร้างเพื่ออุทิศให้พุทธศาสนาด้วย เป็นเหตุก่อให้เกิดปัญหาภายในขึ้น ยุคสมัยรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรค่อยๆ เสื่อมลง ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรตกอยู่ในความยากลำบาก ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านถือโอกาสบุกยึด โจมตีหลายครั้งจนทำให้เมืองพระนครได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก การสร้างปราสาทเพื่ออุทิศถวายเทพเจ้าต่างๆ เริ่มน้อยลง และยุติในรัชสมัยของพระบาทชัยวรมันที่ 9 (ค.ศ 1327 – 1336) ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของเขมรที่มีชื่อในศิลาจารึก หลังจาก ค.ศ.1336 เป็นต้นมา ประเทศเขมรได้เข้าสู่ยุคใหม่ หลักฐานต่างๆ ต้องอาศัยเอกสารจากพงศาวดารที่เป็น “ใบลาน” แทนศิลาจารึก พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ต่อมา มีการพูดถึงที่มาของพระองค์แตกต่างกันออกไป บางก็บอกว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้เป็นสามัญชน มีอาชีพเป็นคนปลูกแตงกวา ไม่ทราบชื่อจริง แต่ด้วยเป็นคนปลูกแตงกวามีรสหวานกว่าคนอื่น จึงเรียกว่า “ตาแตงกวาหวาน” หรือเรียกตามภาษาเขมรว่า “ตา ตรอซ็อก พแอม” วันหนึ่ง ตาแตงกวาหวาน หรือ “ตา ตรอซ็อก พแอม” ได้นำแตงกวาที่ตนปลูกเข้าถวายพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงโปรดรสชาติแตงกวาดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงตรัสสั่งให้ตาแตงกวาหวานดูแลแตงกวาให้ดี ห้ามขายให้คนอื่น ต้องนำมาถวายพระองค์เท่านั้น พระองค์ได้มอบหอกให้เพื่อใช้เป็นอาวุธปกป้องไร่แตงกวาดังกล่าว พระองค์อยากรู้ว่า ตาแตงกวาหวานได้ดูแลไร่แตงกวานั้นจริงไหม คืนหนึ่งพระองค์แอบออกจากราชวังเพื่อไปทอดพระเนตรให้แน่ชัด แต่ด้วยเป็นตอนกลางคืน มืดมองไม่ชัด ตาแตงกวาหวานไม่รู้ว่าคนที่แอบลักลอบเข้ามานั้นเป็นพระมหากษัตริย์ นึกว่าเป็นโจรผู้ร้ายมาขโมยแตงกวาของตน จึงโยนหอกไปถูกพระมหากษัตริย์จนสิ้นพระชนม์ พวกข้าราชบริวารที่ทราบเรื่องดังกล่าว แทนทีเอาโทษตาแตงกวาหวานที่ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กลับเห็นวิชาการปกกันตัว ความซื่อสัตย์ของเขา จึงแต่งตั้งให้เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลอีกด้านหนึ่งบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นแค่เรื่องนิทานเท่านั้น ซึ่งเรื่องจริงเป็นอย่างไร คงต้องศึกษาต่อไป แต่ที่น่าสังเกตคือในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์องค์นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จาก ค.ศ. 1336 เป็นต้นมา ไม่มีการสร้างปราสาทเพื่ออุทิศให้เทพเจ้าของพราหมณ์อีกต่อไป เป็นการสิ้นสุดลัทธิเทวราชในประเทศเขมร โดยหันมานับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ มีการสร้างวัดวาอารามมากขึ้น ภาษาบาลีถูกนำมาใช้แทนภาษาสันสกฤตที่ใช้ในศาสนาพราหมณ์ และที่สำคัญกว่านั้น คือพระมหากษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์จากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีคำว่า “วรมัน” ที่พระมหากษัตริย์เขมรนำมาใช้ต่อท้ายพระนามของของพระองค์เหมือนสมัยก่อนอีก และสังคมเขมรได้เข้าสู่สังคมพุทธศาสนาเถรวาทเรื่อยมา

(Writer : Sut Sorin)

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วันชาติเขมร

         ประเทศเขมร มีวันชาติที่เปลี่ยนมาหลายครั้งตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและระบอบปกครอง โดยวันชาติเหล่านั้น มีดังนี้
        1). วันที่ 6 พฤษภาคม ประกาศให้เป็นวันชาติเขมร ตาม พ.ร.บ ลงวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.1948 (2491) หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1947 (2490) ซึ่งเป็นเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นราชอาณาจักรโดยใน ค.ศ. 1946 (2489) ประเทศกัมพูชามีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก โดยมีพรรคการเมืองแรกคือ "พรรคประชาธิไตย" ชนะการเลือกตั้ง
         2). วันที่ 9 พฤศจิกายน เป็นวันชาติ หลังเขมรได้เอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1953 (2496)
        3). วันที่ 18 มีนาคม เป็นวันชาติในระบอบสาธารณรัฐเขมร หลังจากการโค่นล้มระบอบราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1970 (2513)
        4). วันที่ 17 เมษายน เป็นวันชาติ ในระบอบกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) หลังการโค่นล้มระบอบสาธารณรัฐเขมร เมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1975 (2518)
        5). วันที่ 7 มกราคม เป็นวันชาติ ในระบอบสาธาณรัฐประชาชนกัมพูชา และระบอบรัฐกัมพูชา (สังคมนินยม) หลังจากโค่นล้มระบบกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1975 (2531)
        6). วันที่ 9 พฤศจิกายน เป็นวันชาติ หลังจากเขมรเปลี่ยนมาเป็นระบอบราชาณาจักร ตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1993 (2536) จนถึงทุกวันนี้
           เห็นได้ว่า วันชาติเขมรจะเปลี่ยนตามระบบการปกครองมาโดยตลอด ใครยึดอำนาจจากใครได้ก็เปลี่ยนวันชาติตามที่ตนเองต้องการ และจากวันชาติดังกล่าว ทำให้เห็นได้ด้วยว่าเขมรเคยปกครองมาหลายระบอบ ทั้งระบอบเทวราชา สมบูรณาญาสิทธิราช ราชอาณาจักร สาธารณรัฐ เผด็จการเต็มรูปแบบ สังคมนิยม แล้วก็กลับมาราชอาณาจักรอีก
           แต่ที่น่าสังเกตคือ เขมรในสองยุค คือยุคหลังได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส และยุคหลัง 1993 (2536) จะมีอะไรที่เหมือนกันเยอะ ไม้ว่าจะเป็นเพลงชาติ ธงชาติ และวันชาติ จนกษัตริย์สีหนุเรียกประเทศกัมพูชาหลัง ค.ศ. 1993 (2536) ว่า "ราชอาณาจักรที่ 2"


(Writer : Sut Sorin)

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การเรียกชาวต่างชาติของชาวเขมร

สำหรับชาวเขมร การเรียกชาวต่างชาติมีหลายแบบ เช่น
- ถ้าคนเอเซียนเดียวกันจะเรียกตามชื่อ เช่น คนจีน คนอินเดีย คนไทย คนเวียดนาม คนลาว เป็นต้น
- ถ้าเป็นคนจากตะวันออก (ยุโรป) ที่ไม่ทราบว่ามาจากประเทศไหน จะเรียกว่า អឺរ៉ុប (เออ-รบ) หมายถึง ยุโรป แต่ยังมีบางคน โดยเฉพาะคนแก่ คนมีอายุ ยังมีการเรียกว่า បារាំង (บารัง) อยู่บาง
*** แต่ถ้าชาวฝรั่งเศส เขมรจะเรียกแบบเต็มคือ បារាំង(บารัง) และคำนี้ ถ้าใช้ในการเขียน จะหมายถึง ฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียว
- ถ้าเป็นพวกโลกตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ เขมรจะเรียกว่า អាមេរិក, អាមេរិច (อาเมเร็ก,อาเมเร็จ) หมายถึง สหรัฐฯ แต่เมื่อก่อนจะมีอีกคำที่เรียกพวกสหรัฐฯ คือคำว่า អាគាំង (อาเกียง) แต่เป็นภาษาพูด (เหมือนคนไทยเรียกคนอเมริกาว่า “ไอ้กัน”) ปัจจุบัน ไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว นอกจากใช้เรียกพวกตะวันตก โดยเฉพาะพวกสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นคำที่ใช้เรียกเด็กชายที่ทำงานรับใช้ฤๅษีในอาศรม พบเจอในวรรณคดีโบราณ หรือเป็นคำเรียกเด็กลูกวัดในบางที
- ถ้าเป็นพวกผิวดำ จากทวีปอาฟริกา หรือจากไหนก็แล้วที่ผิวดำ เขมรจะเรียกว่า អាហ្វ្រិក,អាព្រិច (อาฟริก หรืออาปริจ) คือ อาฟริกา หรือนิโกร นั้นเอง


วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

นาคในความเชื่อของเขมร-กัมพูชา

           ถ้าเราไปเที่ยวในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน ศาสนสถาน หรือสถานที่หลายแห่ง เราจะพบสัญลักษณ์หนึ่งเป็นประจำ นั้นก็คือ “นาค” ที่มีการแกะสลักไว้หลายแห่ง เกี่ยวกับนาค ในประเทศกัมพูชาจะแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ
1. นาคในศาสนาพราหมณ์
- นาค 3 หัว (นคกัลป์ยะ) แทนสภาวะเลวร้าย ในเรื่องมหาภารตะ
- นาค 6 หัว (นาคอานนท์) เป็นเตียงนอนของพระนารายณ์
- นาค 9 หัว (นาควาสุกรี) เป็นนาคของพวกเทพ และอสุระที่นำมาเป็นเชือกเพื่อเกษียรสมุทร
2. นาคในศาสนาพุทธ
ในศาสนาพุทธมีนาค 7 หัว (นาคมุจลินท์) ที่ปรกปกป้องพระพุทธเจ้าจากฝน ลม แดด เมื่อตอนที่พระองค์ทำสมาธิ ส่วนนาคหัวเดียว ส่วนใหญ่เป็นนาคที่ใช้ในการตกแต่งเครื่องประดับต่างๆ
3. นาคในวัฒนธรรมเขมร
- นาคหัวเดียว แทน ปฐมกษัตริย์ (พระนางลีวยี หรือนางนาค)
- นาค 3 หัว แทนพันธะ 3 ประการ (สามี/ภรรยา ตนเอง ลูก)
- นาค 5 หัว แทน ปัญจขันธ์ หรือเบ็ญจขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ)
- นาค 7 หัว แทน วันทั้ง 7 วัน ในหนึ่งสัปดาห์
- นาค 9 หัว แทน โลกุตรธรรม (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1)




(Writer : Sut Sorin)

วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อุทยานแห่งชาติในกัมพูชา


          นับมาถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2559 ประเทศกัมพูชามีอุทยานแห่งชาติจำนวน 12 แห่ง คือ
1. อุทยานแห่งชาติพระสุรามะริตกุสุมะคีรีรมย์  เป็นอุทยานที่จัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศกัมพูชา อยู่ในจังหวัดกำปงสปือ และจังหวัดเกากง มีพื้นที่ 3, 5000 เฮกตาร์ ห่างจากกรุงพนมเปญ 112 กิโลเมตร อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ป่าไม้ประมาณ 8 หมื่นเฮกตาร์ ภูเขาคีรีรมย์มีความสูง 700 เมตร


2. อุทยานแห่งชาติบอตุมสาโก อยู่ในจังหวัดเกาะกง มีพื้นที่ 171,250 เฮกตาร์ เป็นแหล่งธรรมชาติ และที่อยู่ของสัตว์ป่า และสัตว์น้ำทุกชนิค นอกจากนี้ยังมีไม้ผล และชายหาดสวยงามกว้างใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว และพักผ่อนที่ได้รับความนิยมของคนทั่วไป อุทยาแห่งนี้ได้จัดให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวัน 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993


3. อุทยานแห่งชาติมุนีวงศ์โบกโก สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1922 อยู่ในจังหวัดกำโปด มีพื้นที่ 140,000 เฮกตาร์ ห่างจากตัวจังหวัดกำโปดประมาณ 42 กิโลเมตร บนยอดภูเขาที่มีความสูงถึง 1,075 เมตร มีคาสิโนที่สร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสเพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีน้ำตก ธรรมชาติสวยงาม


4. อุทยานแห่งชาติแกบ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 อยู่ในจังหวัดแกบ มีพื้นที่ 5,000 เฮกตาร์ ห่างจากอำเภอเมืองกำโปดประมาณ 25 กิโลเมตร และห่างจากกรุงพนมเปญ 173 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ


5. อุทยานแห่งชาติพระสีหนุราม จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 อยู่ในจังหวัดพระสีหนุ มีพื้นที่ 150,000 เฮกตาร์ ห่างจากตัวอำเภอเมืองพระสีหนุประมาณ 18 กิโลเมตร และห่างจากกรุงพนมเปญประมาณ 194 กิโลเมตร


6. อุทยานแห่งชาติกุเลน จัดตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 อยู่ในจังหวัดเสียมเรียบ มีพื้นที่ 37,500 เฮกตาร์ ห่างจากตัวอำเภอเมืองเสียมเรียบ 53 กิโลเมตร มีความสูง 492 เมตร พนมกุเลนเป็นอดีตเมืองหลวงเขมร เป็นยุคเริ่มต้นสมัยพระนครที่รุ่งเรือง


7. อุทยาแห่งชาตวิระชัย อยู่จังหวัดสตึงแตรง และจังหวัดรัตนคีรี มีพื้นที่ 332,500 เฮกตาร์ เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลายชนิคในประเทศกัมพูชา และเป็นเขตป่าไม้หลายชนิดเช่นกัน


8. อุทยานแห่งชาติ ฤเส็ยเตริ่บ จัดตั้งเมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ.2014 อยู่ในจังหวัดพระวิหาร มีพื้นที่ 11, 435 เฮกตาร์ เป็นอุทยานแห่งชาติเชิงโบราณคดี ประวัตศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ

9. อุทยานแห่งชาติโอยาดาว จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 อยู่ในจังหวัดรัตนคีรี มีพื้นที่ 101, 344 เฮกตาร์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การค้นหา วิทยาศาสตร์และความเชื่อ


10. อุทยานแห่งชาติเทือกเขากรอวาญทิศใต้ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 อยู่ในจังหวัดเกาะกง จังหวัดโปสัต จังหวัดกำปงสปือ และจังหวัดพระสีหนุ มีพื้นที่ 410, 392 เฮกตาร์ การสร้างอุทยานแห่งนี้เพื่ออนุรักษ์ทรัยากรธรรมชาติผสม ทรัพยากรวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเที่ยว การศึกษา ค้นคว้า วิทยาศาสตร์และความเชื่อ

11. อุทยานแห่งชาติเทือกเขากรอวาญกลาง จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 อยู่จังหวัดเกาะกง จังหวัดโปสัต และจังหวัดกำปงสปือ มีพื้นที่ 401, 313 เฮกตาร์ การสร้างอุทยานแห่งนี้เพื่ออนุรักษ์ทรัยากรธรรมชาติผสม ทรัพยากรวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเที่ยว การศึกษา ค้นคว้า วิทยาศาสตร์และความเชื่อ



12. อุทยานแห่งชาติเวินไส-เสียมปาง จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 อยู่ในจังหวัดสตึงแตรงและจังหวัดรัตนคีรี มีพื้นที่ 57, 469 เฮกตาร์ การสร้างอุทยานแห่งนี้เพื่ออนุรักษ์ทรัยากรธรรมชาติผสม ทรัพยากรวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเที่ยว การศึกษา ค้นคว้า วิทยาศาสตร์และความเชื่อ

ปล. ภาพประกอบบางภาพ เป็นแค่ภาพตัวอย่างเท่านั้น
(Writer : Sut Sorin)

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สาเหตุโรงเรียนที่ประเทศกัมพูชาต้องเรียนสองช่วง

                  ระบบการศึกษาของประเทศกัมพูชา เป็นระบบ 6-3-3 เหมือนกับหลายประเทศในอาเซียน รัฐบาลของกัมพูชาให้ความสำคัญเกี่ยวกับจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยการเรียนการสอนระดับขั้นพื้นฐานในประเทศกัมพูชา เรียนสัปดาห์ละ 6 วัน คือวันจันท์ถึงวันเสาร์ มีวันหยุดวันเดียวคือวันอาทิตย์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (ฉบับปรับปรุงค.ศ.2015) มาตรา 65 ระบุไว้ว่า “รัฐต้องปกป้อง และส่งเสริมให้พลเมืองได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทุกระดับ และต้องจัดมาตรการทุกอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้พลเมืองทุกคนได้เข้าถึงการศึกษานั้นรัฐต้องเอาใจใส่ด้านการศึกษาและการกีฬาเพื่อให้พลเมืองทุกคนมีสุขภาพที่ดี” ส่วน มาตรา 68 ระบุไว้ว่า “รัฐมีหน้าที่ในการจัดการศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในโรงเรียนของรัฐสำหรับพลเมืองทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พลเมืองต้องได้รับการศึกษาอย่างน้อยเก้าปีรัฐช่วยเผยแพร่และส่งเสริมโรงเรียนภาษาบาลีและการศึกษาด้านพุทธศาสนา”
              จากการระบุดังกล่าว เห็นว่ารัฐให้ความสำคัญและได้ช่วยสนับสนุน ส่งเสริมหลายอย่างเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของชาติ โดยให้พลเมืองเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และต้องเรียนในการศึกษาภาคบังคับน้อย 9 ปี คือจบการการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการทำงาน โดยมีการจัดการเรียนการสอนเป็นสองภาคเรียนคือภาคเรียนที่ 1 วันที่ 1 มกราคม – วันที่ 6 เมษายน ของทุกปี และภาคเรียนที่ 2 วันที่ 20 เมษายน – วันที่ 30 กรกฎาคม ของทุกปี
               ถึงแม้ว่า รัฐได้ช่วยสนับสนุน ส่งเสริมการศึกษามากแค่ไหน แต่ปัญหาต่างๆ ยังคงมีอยู่ให้เห็น สำหรับผู้ที่เดินทางไปประเทศกัมพูชา จะเห็นว่าเด็กนักเรียนของประเทศกัมพูชาจะเรียนแค่ครึ่งวันไม่ว่าโรงเรียนนั้นอยู่ในเขตเมือง หรือเขตชนบท คือเรียนช่วงเช้า และช่วงบ่าย โดยนักเรียนที่เรียนสองช่วงนี้ เป็นนักเรียนคนละกลุ่มกัน คือนักเรียนที่เรียนช่วงเช้า จะไม่เรียนช่วงบ่าย ส่วนนักเรียนที่เรียนช่วงบ่าย จะไม่เรียนช่วงเช้า แต่นักเรียนทั้งสองกลุ่มนี้จะสลับช่วงเรียนกันเดือนละครั้งขึ้นอยู่กับการจัดการของผู้บริหารสถานศึกษานั้นซึ่งแตกต่างประเทศไทยที่จัดการเรียนการสอนทั้งวัน จึงเกิดคำถามว่า ทำไมโรงเรียนที่ประเทศกัมพูชาจึงต้องจัดการเรียนการสอนเป็นช่วง สาเหตุที่โรงเรียนในประเทศกัมพูชาต้องสอนสองเวลาคือ
        1. ปัจจัยด้านงบประมาณและบุคลากร
 1.1 ปัจจัยด้านงบประมาณ  งบประมาณที่จ่ายเป็นเงินเดือนของข้าราชการครูและข้าราชการ
กระทรวงอื่นๆ ของกัมพูชาอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางเงินเดือนครูประถมประมาณ 540,000 เรียล หรือประมาณ 49,00 บาทไทย ครูมัธยมประมาณ 830,000 เรียล หรือประมาณ 7,500 บาทไทย และรัฐบาลจะเพิ่มให้ปีละ 20ขึ้นอยู่กับขั้นเงินเดือน ประสบการณ์การสอนและจำนวนบุตรในครอบครัว ซึ่งเงินเดือนที่เป็นค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าว ไม่สามารถทำให้อาชีพครู เป็นอาชีพที่คนส่วนมากอยากจะเป็น แต่เป็นอาชีพที่คนส่วนหนึ่งที่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่ามักไม่อยากเป็นครู หรือมาเป็นครูเพื่อมองโอกาสในการทำงานอย่างอื่น เช่นงานเอกชน เป็นต้นเพื่อเป็นการลดปัญหาดังกล่าว รัฐจึงมีนโยบายให้ครูสอนอีกครึ่งวันพร้อมรับเงินค่าตอบแทนเพิ่ม ถึงแม้ว่าไม่สามารถทำให้ความเป็นอยู่ของครูอยู่ในระดับที่ดี แต่ก็อยู่ในระดับที่พอรับได้ และครูอีกส่วนหนึ่งที่มีอาชีพเสริมอย่างอื่น สามารถไปงานนั้นได้หลังจากหมดเวลาทำงานแล้ว
   1.2   ปัจจัยด้านบุคลากร  เกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยด้านงบประมาณที่มีน้อย เป็นสาเหตุทำให้
บุคลากรทางการศึกษา หรือครูที่ปฏิบัติหน้าสอนในโรงเรียนต่างๆ มีจำนวนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในเขตชนบทที่บางโรงเรียนมีครูผู้สอนสองหรือสามคน นักศึกษาครูที่เพิ่งจบมาใหม่เคยใช้ชีวิตในเมืองไม่ที่มีความสะดวกสบายหลายอย่าง พวกเขาไม่ยากไปสอนในที่ทุรกันดาร และครูที่ไปสอน นอกจากอาชีพสอนหนังสือแล้วไม่มีอาชีพเสริมอื่นที่เป็นรายได้ในแต่ละวันแทนเงินเดือนได้ นอกจากเงินสวัสดิการ หรือเงินเบี้ยกันดารที่เพิ่มกับเงินเดือนประจำสำหรับผู้ที่เสียสละไปสอน ซึ่งเงินสวัสดิการเหล่านี้อาจไม่ได้เบิกเป็นรายเดือน บางครั้งเบิกเป็นรายภาคเรียน หรือเบิกเป็นรายปีการศึกษา ซึ่งไม่สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันได้กับการสอนของครูประถมศึกษา สัปดาห์ละ 24 ชั่วโมง และครูมัธยมศึกษา สัปดาห์ละ 19 ชั่วโมง การที่ได้สอนอีกครึ่งวันพร้อมกับการได้รับค่าตอบแทนอีกส่วนหนึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มได้รายและลดภาระการใช้จ่ายให้กับครูผู้สอนได้ไม่มากก็น้อย
          2. ปัจจัยด้านอาคารสถานที่ อาคารเรียนในประเทศกัมพูชาถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการทั้งในตัวเมืองและต่างอำเภอ หน่วยงานของรัฐพยายามสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และมีองค์กรนอกรัฐบาล เช่น Asia Development Bank (ADB), World Bank เป็นต้น และผู้มีจิตศรัทธาทั้งในและนอกประเทศที่ให้ความช่วยเหลือมาตลอด แต่ด้วยความขาดแคลนที่มีมาก จึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากจำนวนนักเรียนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เรียนภาเช้า และกลุ่มที่เรียนภาคบ่าย ถึงแม้ว่าการแบ่งเป็นกลุ่มสามารถลดปัญหาการขาดห้องเรียนได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่สำหรับโรงเรียนที่อยู่ในเขตชนบทหลายโรงเรียนยังมีปัญหาอยู่
         3. ปัจจัยด้านความเป็นอยู่ของผู้ปกครอง ผู้ปกครองนักเรียน โดยเฉพาะในต่างอำเภอหรือในเขตชนบท ส่วนมากยังมีความเป็นอยู่ปานกลางหรือลำบาก มีส่วนน้อยที่มีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ถึงแม้ว่าความเป็นอยู่อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองมักอยากให้ลูกช่วยงานบ้านแทนตัวเองในบางเรื่อง เช่นถ้าในชนบท ผู้ปกครองให้ลูกช่วยดูแลบ้าน ทำงานบ้านรดน้ำผัก เลี้ยงสัตว์ ดูแลน้อง และอื่นๆ ส่วนผู้ปกครองที่อยู่ในเมืองส่วนมากมีอาชีพค้าขาย จะให้ลูกช่วยเปิดร้าน ดูแลร้านเฝ้าบ้าน หรือทำงานอื่นๆ แทนตัวเองเสมอ ฉะนั้น การที่โรงเรียนสอนแค่ครึ่งวัน การมีลูกอยู่บ้านช่วยงานต่างๆ ได้ครึ่งวันไม่ว่าช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายถือว่ายังดี สามารดช่วยงานและลดภาระของผู้ปกครองได้ระดับหนึ่ง
           จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จึงทำให้โรงเรียนต่างๆ ในประเทศกัมพูชาต้องเรียนอยู่สองช่วง เพื่อลดปัญหา และผลกระทบต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษา หวังว่า ปัญหาเหล่านั้นจะได้รับการแก้ไขที่ดีขึ้นจนสามารถทำให้การศึกษาของประเทศนี้มีความพร้อมในทุกด้านต่อไป

(Writer : Sut Sorin)

รูปแบบการจัดศึกษาในราชอาณาจักรกัมพูชา


                 การจัดการศึกษาในกัมพูชานั้น เป็นการจัดศึกษาแบบซ้ำชั้นโดยใช้ระบบเปอร์เซ็นต์ (Percent) ที่กำหนดขึ้นในแต่ละปีไม่เหมือนกัน การจัดการศึกษานี้ถูกกำหนดขึ้นจากรัฐบาลในการกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชนและกีฬา (Ministry of Education, Youth and Sport) โดยมีการแบ่งการดำเนินการและรับผิดชอบ เป็น 3 ระดับ โดยกระทรวงนี้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายระดับชาติ และจัดทำหลักสูตรแกนกลางสำหรับการศึกษาของชาติ ส่วนวิทยาลัยเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนั้นขึ้นอยู่กับการรับผิดชอบของเจ้ากระทรวงนั้นๆ (กระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน ฯลฯ) ระดับต่อมา คือ ระดับจังหวัดและระดับอำเภอ
             สำหรับระบบการศึกษาโดยทั่วไปในกัมพูชา  เป็นระบบ 6 / 3 / 3 ปี จำแนกเป็น ระดับประถมศึกษา (ชั้น 1-6) จำนวน 6 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้น 7-9) จำนวน 3 ปี และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้น 10,11 และ12) จำนวน 3 ปี ดังมีรายละเอียดดังนี้
                   1. ระดับประถมศึกษา (ชั้น 1-6) จำนวน 6 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนทักษะต่างๆ ให้แก่นักเรียน เช่น ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน เพื่อให้นักเรียนตระหนักและธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของศิลปะและการแสดง และเพื่อให้โอกาสนักเรียนได้พัฒนา ความสนใจและความเข้าใจในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของชาติ
                   2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้น 7-9) จำนวน 3 ปี  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของศิลปะเขมร คุณค่าของความงาม/สุนทรียศาสตร์ เพื่อพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะในการแสดงเพิ่มขึ้น มีความสนใจกิจกรรมทางด้านศิลปะเพื่อการแสดงเห็นคุณค่าของจารีตประเพณีและวัฒนธรรม เพื่อให้นักเรียนตระหนักในคุณค่า ทางด้านสุนทรียศาสตร์  การธำรงไว้ซึ่งคุณค่าเหล่านั้น รวมทั้งให้การสนับสนุนการแสดงออกทางด้านศิลปะการแสดงต่างๆ และเพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มีความสนใจในศิลปะความงาม /สุนทรียศาสตร์และมรดกทางด้านวัฒนธรรม
                   3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้น 10,11 และ 12) จำนวน 3 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนตระหนักในทฤษฎีพื้นฐาน ทางด้านศิลปะและการทำงานทางด้านศิลปะ เพื่อให้นักเรียนตระหนักในคุณค่าที่แท้จริงและความสำคัญของศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อให้นักเรียนมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนมีความระมัดระวังและธำรงไว้ซึ่งความรักในงานศิลปะการแสดงออกความรู้สึกที่ดีในงานศิลปะต่างๆ เพื่อให้นักเรียนมีความรัก รู้จักป้องกันและพัฒนาศิลปะประจำชาติ และเพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติที่ดีต่อศิลปะประจำชาติและศิลปะนานาชาติ
                  ปัจจุบันมีการจัดการเรียนการสอนระดับก่อนประถมศึกษา และอนุบาลที่รับเด็กอายุ  3-5  ปี ซึ่งมีเฉพาะบางพื้นที่ เช่นในเมืองเท่านั้น ในการเรียนนักเรียนต้องเรียนระดับประถมศึกษาจากชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6  และเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในระดับชั้น 7 ถึง 9 จากนั้นต้องสอบให้ผ่านการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในชั้น10 ถึง 12 หลังจากจบชั้น 12 แล้วจะมีการสอบประมวลวิชาเพื่อรับประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย  ซึ่งเรียกว่า บักดุบ” (Bac Dup) ซึ่งในการสอบนี้ ข้อสอบเป็นของศูนย์กลาง (กระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา) ที่จัดการสอบพร้อมกันทั่วประเทศในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี นักเรียนที่สอบไม่ผ่านตามเปอร์เซ็นต์ (Percent) ที่ศูนย์กลางกำหนดขึ้นในปีนั้น ต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่ง หรือสามารถลงทะเบียนไว้กับโรงเรียนแล้วไม่ต้องมาเรียนก็ได้ แต่ต้องมาสอบกลางภาค ปลายภาคและสอบประมวลวิชาตามกำหนด เนื่องจากว่า หลายปีที่ผ่านมา ประเทศกัมพูชาขาดแคลนครูจำนวนมาก รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาได้เปิดโอกาสให้กับผู้ที่สอบไม่ผ่านชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น ได้สมัครสอบเรียนครู ที่วิทยาลัยครูเพื่อเป็นครูประถมต่อไป ส่วนนักเรียนที่สอบผ่านการสอบประมวลวิชานั้น สามารถสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูเพื่อเรียนเป็นครูประถม ครูมัธยม หรือสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เมื่อก่อนหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  ต้องมีการสอบประมวลวิชาแล้วต้องไปทำการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่ปัจจุบันผู้เรียนสามารถนำคะแนนจากการสอบประมวลวิชา เพื่อคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆได้เลย เช่น The  University  of  Health  Sciences,  The  Royal  University  of  Fine  Arts,  The  Institute of  Technology,  The  Faculty  of  Law  and  Economic  Sciences,  The  Royal  University  of Agriculture, The Royal  University  of  Phnom  Penh,  The  National  Institute  of  Management,  The  Maharishi  Vedic  University and The  Faculty of Pedagogy. นอกจากที่กล่าวมาแล้วกัมพูชายังมีมหาวิทยาลัยเอกชนเกิดขึ้นมากมาย แต่ปัญหาที่พบสำหรับการศึกษาเอกชน คือ รัฐบาลยังไม่สามารถรับรองมาตรฐานการศึกษาเอกชนได้
รูปแบบการจัดการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษา ราชอาณาจักรกัมพูชา 



(Writer : Sut Sorin)





ประวัติการศึกษาในประเทศกัมพูชา


           การศึกษาในประเทศกัมพูชามีอายุยาวนานเท่ากับอายุของประเทศนี้ ในยุคแรก เราไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาว่ามีลักษณะแบบใด เราเริ่มศึกษาจากหลักฐานที่เป็นศิลาจารึกตามปราสาทต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในยุคพระนคร ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ฉะนั้น เราทำความเข้าใจคราวๆ เกี่ยวกับประวัติการศึกษาของเขมรตั้งแต่ยุคพระนครจนถึงยุคปัจจุบันกัน โดยจำแหนกตามยุคตามยุค ดังนี้
             1. ยุคพระนคร: ยุคพระนคร เริ่มจากปีคริสต์ศักราช 802 ถึง ปีคริสต์ศักราช 1431 เป็นยุคที่เขมรมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด การศึกษาในช่วงแรกของยุคนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเท่าใดนัก แต่ในช่วงกลางของยุคนี้ เราเห็นมีหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนคือมีจัดการเรียนการสอนในปราสาท อย่างที่เราเห็นหลายปราสาทจะมีห้องสมุดเป็นสถานที่เก็บตำราและเอกสารที่ใช้ในการศึกษา โดยมีพราหมณ์บุโรหิตเป็นผู้สอน และผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นคนในวัง นอกจากนี้ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียนอยู่ในศาสนาสถาน โดยมีบรรพชิตเป็นผู้สอน วิชาที่สอนในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องของศาสนา การทำศึกสงคราม การสู้รบ การปกครองความเชื่อ ไสยศาสตร์ ในยุคนี้ ปราสาทและศาสนสถานเป็นเขตอภัยทาน
              2. ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส : ฝรั่งเศสได้ปกครองกัมพูชาเป็นเวลา 90 ปี (ค.ศ. 1863 – ค.ศ.1953) แต่ช่วงที่มีผลต่อการศึกษาของเขมรคือ ค.ศ. 1863-1945 โดยสถานศึกษาของเขมรในยุคนั้นแบ่งออกเป็น2 ประเภท คือสถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นโดยฝรั่งเศส เรียกว่าโรงเรียนฝรั่งเศส – เขมร หรือการศึกษาทางการ มีสอนวิชาต่างๆ เกี่ยวกับการคำนวณ วิทยาศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ซึ่งเป็นวิชาของโลกตะวันตกโดยการศึกษาในโรงเรียนประเภทนี้ มีดังนี้ 1. โรงเรียนประจำตำบล 2. โรงเรียนประถมศึกษาชั้นแรก 3. โรงเรียนประถมศึกษาเพิ่มเติมวิชา 4. โรงเรียนประถมศึกษาชั้นสูงและมัธยมศึกษาฝรั่งเศส – ภาษาต่างประเทศ มีประถมศึกษาชั้นสูงด้านครุศาสตร์ และมัธยมศึกษาทุติยภูมิ 5.อุดมศึกษา 6. อาชีวศึกษา มีโรงเรียนเทคนิคและการอาชีพ โรงเรียนศิลปะเขมร 7. โรงเรียนเอกชน มี โรงเรียนเอกชนสอนภาษาฝรั่งเศส โรงเรียนภาษาฝรั่งเศสและภาษาต่างประเทศ โรงเรียนภาษาถิ่น และโรงเรียนภาษาต่างประเทศ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ สถานศึกษาประเพณีปรับปรุงใหม่ (โรงเรียนวัด) เป็นสถานศึกษาตามแบบดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากยุคก่อนๆ โรงเรียนประเภทนี้ มีการจัดตั้งโรงเรียนปฏิบัติ โรงเรียนปฏิบัติชั้นสูง และมีบุคลากรปฏิบัติงานการศึกษาประเพณีปรับปรุงใหม่
            ในปีค.ศ. 1935 มีครูผู้สอนเป็นคฤหัสถ์ส่วนหนึ่งได้เข้ามาทำงานในโรงเรียนประเพณีปรับปรุงใหม่ด้วย พร้อมกันนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้แทนพระองค์ 1 คนเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นศึกษานิเทศก์ในการตรวจสอบ กำกับติดตามการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนประเพณีปรับปรุงใหม่ (โรงเรียนวัด) และศึกษานิเทศก์คนดังกล่าวได้แต่งตั้งผู้ช่วยอีกหนึ่งคนเพื่อช่วยงาน
             กระทรวงศึกษาของเขมรในยุคนี้ บริหารโดยชาวฝรั่งเศสหนึ่งคน และผู้บริหารคนดังกล่าวต้องขึ้นตรงต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงชาวฝรั่งเศสอีกคน ส่วนการศึกษาต้องปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้กำกับการศึกษาของรัฐอีกคนหนึ่งที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ส่วนในจังหวัดใหญ่ๆ ของเขมร มีชาวฝรั่งเศสหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นผู้กำกับโรงเรียนประถมศึกษา แต่ละปีผู้กำกับคนดังกล่าวจะเดินทางไปตรวจโรงเรียนฝรั่งเศส-เขมรระดับประถมชั้นต้นตามอำเภอต่างๆ ส่วนโรงเรียนประเพณีปรับปรุงใหม่ (โรงเรียนวัด) ผู้กำกับคนนี้จะไม่มีสิทธิไปตรวจสอบได้ เพราะว่า โรงเรียนเหล่านั้น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากผู้แทนพระมหากษัตริย์
             3. ยุคปี ค.ศ.1945 – 1975: เป็นยุคปลายๆ ของอาณานิคมฝรั่งเศสจนถึงยุคการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเขมรจากราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นสาธารณรัฐเขมร (ค.ศ.1970-1975) โดยในปี ค.ศ. 1947 ได้จัดให้มีสำนักงานขึ้นมา 2 สำนักงาน คือ สำนักงานกำกับดูแลโรงเรียนของวัด และสำนักงานกำกับดูแลโรงเรียนฝรั่งเศส – เขมร จนถึงปี ค.ศ. 1949 สำนักงานทั้งสองได้รวมกันเป็นสำนักงานเดียว และปี ค.ศ. 1969 -1970 เป็นช่วงปลายๆ ของยุคสังคมราษฎรนินมของพระบาท นโรดม สีหนุ การศึกษาขั้นพื้นฐานของเขมรมี 13 ปี และที่แปลกคือ เขานับจากปีที่ 12 ลงมา เช่น ถ้าเราเริ่มเรียนปีแรก เขาเรียกว่า “ชั้นปีที่ 12” แล้วเรียงลงมาเรื่อยๆ การศึกษายุคนี้แบ่งเป็น ประถมศึกษา มี 6 ปี (ปีที่ 12 – ปีที่ 7) มัธยมศึกษาตอนต้น มี 4 ปี (ปีที่ 6- ปีที่ 3) และวิทยาลัย หรือมัธยมศึกษาตอนปลาย มี 3 ปี (ปีที่ 2 ปีที่ 1 และปีสุดท้าย)
             4. ยุคปี ค.ศ. 1979 – ปัจจุบัน :( สังเกตเห็นว่า ไม่มีข้อมูลจากปี ค.ศ. 1975 -979 เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เขมรแดงปกครองประเทศ ทุกอย่างเท่ากับศูนย์) ยุคนี้การศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ
                  4.1 ช่วงที่หนึ่ง:ค.ศ. 1979 – 1987 ยุคนี้ระบบการศึกษาความรู้ทั่วไป (การศึกษาขั้นพื้นฐาน) มีระยะเวลา 10 ปี โดยระดับประถมมี 4 ปี คือ ปีที่ 1-ปีที่ 4 มัธยมศึกษาตอนต้นมี 3 ปี คือปีที่ 5-ปีที่ 7 มัธยมศึกษาตอนปลายมี 3 ปี คือ ปีที่ 8-ปีที่ 10
                  4.2 ช่วงที่สอง: ค.ศ. 1987 – 1994 ยุคนี้ระบบการศึกษาความรู้ทั่วไป (การศึกษาขั้นพื้นฐาน) มีระยะเวลา 11 ปี โดยระดับประถมศึกษามี 5 ปี คือ ปีที่ 1-ปีที่ 5 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมี 3 ปี (ปีที่ 6-ปีที่ 8) และระดับวิทยาลัยหรือมัธยมศึกษาตอนปลายมี 3 ปีคือ ปีที่ 9-ปีที่ 11
               4.3 ช่วงที่สาม : ค.ศ.1994 – ปัจจุบัน ระบบการศึกษายุคนี้มีระยะเวลา 12 ปี (6+3+3)  ระดับประถมศึกษามี 6 ปีคือ ปีที่ 1-ปีที่ 6 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมี 3 ปี คือ ปีที่ 7-ปีที่ 9 มัธยมศึกษาตอนปลายมี 3 ปี คือ ปีที่ 10- ปีที่ 12​​​ ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือ ค.ศ.1994 กระทรวงศึกษาธิการเขมรได้จัดให้มีศึกษานิเทศก์ขึ้นเพื่อประเมินโรงเรียนต่างๆ ในประเทศ
                      เห็นได้ว่า การศึกษาของเขมรได้มีการปรับเปลี่ยนตามยุคตามสมัย ตามระบบการปกครอง ตามความต้องการของสังคมด้วยและตามความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก 



(Writer : Sut Sorin)

ประวัติอนุสาวรีย์ "ดาบเหล็กกำปงสวาย" จังหวัดกำปงธม

          ถ้าเรานั่งรถผ่านจังหวัดกำปงธม เราจะเห็นอนุสาวรีย์แห่งนี้อยู่ เรียกว่า "ดาวแดกกำปงสวาย" หมายถึง "ดาบเหล็กกำปงสวาย&qu...